วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2558

ท่าโยคะเด็ดดวง กระชับสัดส่วนได้ตรงจุด

    ฟิต & เฟิร์ม ลองมาเล่นโยคะกระชับกระชับสัดส่วนกันเลย

                โยคะที่ดีต่อสุขภาพก็เป็นหนึ่งในตัวช่วยเบิร์นแคลอรี่ ปราบเซลลูไลท์ และแก้ปัญหาส่วนเกินในจุดที่คุณสาว ๆ กังวลได้ ถ้ายิ่งฝึกบ่อยๆ ยังช่วยให้ดูเด็กลงด้วย ประโยชน์เพียบแบบนี้ชักอยากลุกขึ้นมาฝึกโยคะแล้วสิ แต่ถ้าใครมีปัญหาไม่มีเวลาไปเข้าคอร์สโยคะที่ได้ ก็ลองมาดูท่าโยคะกระชับสัดส่วนแบบง่ายๆ ต่อไปนี้ ขอบอกว่าฝึกเองได้ที่บ้านด้วย...

      โยคะกระชับต้นแขน          หากสาวคนไหนมีปัญหาต้นแขนใหญ่ จะใส่เสื้อแขนกุด สายเดี่ยวก็ไม่กล้า ให้เริ่มปฏิบัติการฝึกโยคะ 3 ท่าต่อไปนี้
      ท่าโลมา

          ท่าโลมา
                  นั่งคุกเข่า ประสานมือทั้งสองข้างไว้ข้างหน้า แล้วค่อยๆ โน้มตัวลงมาให้ข้อศอกแตะพื้น จากนั้นยกสะโพกและก้นขึ้นให้อยู่ในแนวเดียวกับข้อศอก ท่านี้จะช่วยบริหารต้นแขนด้านใน กล้ามเนื้อไบเซ็ปส์ ไตรเซ็ปส์ และไหล่ให้สมส่วน
        ท่าสุนัขก้มหน้า

        ท่าสุนัขก้มหน้า 
                  เริ่มต้นในท่าคลาน ขาและเข่ากางออกความกว้างเท่าสะโพก กางแขนให้กว้างเท่าไหล่ กางนิ้วออกให้กว้างด้วย แล้วใช้มือดันพื้น ยกเข่าขึ้นจนขาตรง (หากรู้สึกตึงขาเกินไป สามารถงอเข่าได้เล็กน้อยเพื่อให้รู้สึกสบาย)
                  เมื่อยกเข่าขึ้นแล้ว ให้ยืดแขนไปข้างหน้าเล็กน้อย และก้าวขาไปข้างหลังเล็กน้อย เกร็งต้นขาไว้ จากนั้นดันต้นขาไปข้างหลัง พยายามกดส้นเท้าไว้ให้ติดพื้น ผ่อนคลายศีรษะ คอ แล้วปล่อยให้ไหล่ผายไปด้านหลัง หายใจลึก ๆ ค้างไว้อย่างน้อย 1 นาที 


        ท่าท่อนไม้

        ท่าท่อนไม้ 
                  ท่านี้จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้แขน มือ และกล้ามเนื้อหน้าท้องไปพร้อมๆ กัน วิธีฝึกก็คือ ให้นอนคว่ำลง เท้าชิดกัน ตั้งนิ้วเท้าขึ้น จากนั้นให้งอข้อศอก มือทั้งสองข้างวางราบไปกับพื้น หายใจเข้า แล้วค่อยๆ ดันมือทั้งสองข้างยกตัวขึ้น ลำตัวตรงขนานกับพื้น ใช้มือและเท้ารับน้ำหนักตัว สักครู่หนึ่งให้หายใจออก ผ่อนคลายท่าลง กลับไปในท่าเดิม

        โยคะกระชับต้นแขน 
                  หน้าท้องย้วยๆ เป็นปัญหากวนใจคุณสาวๆ อย่างไม่เคยหยุดหย่อน แต่เราสามารถกระชับหน้าท้องให้ดูฟิตเปรี๊ยะได้ด้วยท่าโยคะที่กระปุกดอทคอมขอแนะนำต่อไปนี้

        ท่าเรือ (Boat Pose)

         ท่าเรือ 
                  เริ่มฝึกง่ายๆ ด้วยการนั่งลงกับพื้นให้หลังตั้งตรง ขาเหยียดตรง หายใจเข้า เหยียดแขนชี้ไปข้างหน้า หายใจออกแล้วเอนตัวไปข้างหลัง ค่อยๆ เกร็งหน้าท้องแล้วยกขาขึ้นจากพื้น ทำมุมประมาณ 45 องศา ปลายเท้าอยู่สูงเหนือระดับศีรษะ
                  จากนั้น ยกแขนขึ้นให้แขนเหยียดตรง ขนานกับพื้นในแนวเดียวกับหัวไหล่ พลิกฝ่ามือหันเข้าหาขา พยายามทรงตัวให้อยู่ในท่าสมดุล ให้น้ำหนักลงที่ก้น ค้างอยู่ท่านี้ประมาณ 10-20 วินาที หากฝึกจนเก่งแล้วให้ค่อย ๆ เพิ่มเวลาขึ้นเป็นสัก 1 นาที
                  Tip : ถ้าเพิ่งเริ่มฝึกใหม่ๆ อาจจะยกขาเหยียดขึ้นไม่ได้นาน ให้หาผ้ายืด หรือเข็มขัดมาคล้องปลายเท้าแล้วใช้มือดึงพยุงตัวเอาไว้


        ท่างูเห่า

        ท่างูเห่า 
                  เป็นท่าที่ช่วยบริหารกระดูกสันหลัง และกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องไปในตัว วิธีฝึกคือ ให้นอนคว่ำ งอข้อศอก ต้นแขน และมือ วางชิดลำตัวด้านข้าง ขาชิดกัน หรือจะแยกขาออกประมาณหนึ่งช่วงไหล่ก็ได้ 
                  จากนั้น เหยียดแขนขึ้น แต่พยายามให้ศอกงอเล็กน้อยเพื่อยกลำตัวช่วงบนขึ้น เปิดอก เปิดไหล่ พยายามยืดศีรษะขึ้นให้ขนานกับลำตัวช่วงบน ค้างท่าไว้ แล้วหายใจเข้า-ออก ประมาณ 3-5 ลมหายใจ แล้วกลับมาสู่ท่านอนคว่ำเหมือนเริ่มต้น


        ท่ายืนด้วยไหล่

        ท่ายืนด้วยไหล่
                  ท่านี้อาจจะยากไปสักหน่อย เหมาะสำหรับผู้ที่ฝึกโยคะมานานจนเชี่ยวชาญแล้ว แต่มือใหม่จะลองดูก็ไม่เสียหาย วิธีฝึกเริ่มจาก นอนหงาย ชันเข่าขึ้นให้ส้นเท้าวางกับพื้นติดก้น หายใจออก แขนและมือทั้งสองข้างวางคว่ำแนบลำตัวกดพื้น ยกสะโพกขึ้นพร้อมดึงเข่าไปทางศีรษะในท่าเข่างอ ยกหลังขึ้นจากพื้น จนเข่าทั้งสองข้างอยู่หน้าใบหน้า 
                  จากนั้น ใช้มือสองข้างประคองแผ่นหลังจนกระทั่งหลังตั้งฉากกับพื้น แล้วค่อยเลื่อนมือลงดันแผ่นหลังไว้ เหยียดเข่า ยกปลายเท้าชี้บนเพดาน ดันลำตัวขึ้นจนหน้าอกชิดกับคาง หน้าตั้งตรง ให้คงท่านี้ไว้ 30 วินาที กลับสู่ท่านอนหงาย

             ลองไปฝึกกันดูนะค่ะ จะชวนเพื่อนๆ มา Boos ร่างกายก็สนุกไปอีกแบบ "‪‎Healthy Life Booster สุขภาพดีไม่ต้องรอ‬"

วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2558



อาหารจานเดียว...เมื่อเลี่ยงไม่ได้ก็เลือกอย่างฉลาด
กับ 10 วิธีการกินอาหารจานเดียวให้สุขภาพดี

Cr. http://www.thairath.co.th/

“อาหารจานเดียว” หรือที่เรามักเรียกว่า “อาหารจานด่วน” ถือเป็นอาหารยอดฮิต ที่ใครหลายคนชื่นชอบ อาจเพราะเป็นประเภทอาหารที่มีบริการจำหน่ายอย่างแพร่หลาย หาซื้อได้ง่าย ราคาย่อมเยา และสะดวก รวดเร็ว เหมาะกับวิถีชีวิตของคนเมืองในปัจจุบัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อาหารจานด่วนประเภทนี้ก็ยากต่อการควบคุมคุณค่าทางโภชนาการ เพราะมีสารอาหารหลากหลายและหากเลือกทานไม่ถูกวิธี  อาจทำให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์



ดังนั้น วันนี้จะขอนำเสนอ 10 วิธีการเลือกรับประทานอาหารจานเดียวอย่างถูกวิธี โดยเริ่มจากความเข้าใจเรื่องสัดส่วนคุณค่าทางโภชนาการของอาหารหนึ่งจาน ที่คนเราต้องการในอาหารหนึ่งจานควรประกอบด้วย สัดส่วนของคาร์โบไฮเดรตร้อยละ 50 ไขมันร้อยละ 30 และโปรตีนร้อยละ 20 ซึ่งพลังงานที่เราจะได้รับจากอาหารแต่ละประเภท ก็มีปริมาณแตกต่างกัน ดังนี้
คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี
โปรตีน 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี
ไขมัน 1 กรัม ให้พลังงาน 9 แคลอรี
การบริโภคอาหารชนิดเดียวกัน อาจให้พลังงานต่างกันขึ้นอยู่กับว่าอาหารแต่ละจานเน้นส่วนประกอบใดบ้างและมีวิธีปรุงอย่างไร นอกจากนี้ ยังขึ้นอยู่กับตัวท่านเองด้วยว่า เลือกรับประทานอาหารในปริมาณมากน้อยแค่ไหน และยิ่งหากมีการปรุงรสมากก็ยิ่งจะทำให้ได้รับพลังงานเพิ่มมากขึ้นด้วย ดังนั้น หากเลือกรับประทานอาหารจานเดียวอย่างเหมาะสม นอกจากจะให้คุณค่าทางโภชนาการแล้ว ยังช่วยประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย และสะดวกในการบริโภคอีกด้วย



สำหรับวิธีเลือกทานอาหารจานเดียวอย่างถูกวิธี มีหลักการง่ายๆ ให้คุณเลือกปฏิบัติ ดังต่อไปนี้

1. ควรเลือกรับประทานอาหารให้หลากหลาย โดยอาจเน้นอาหารประเภทปลา เช่น ปลาทู เป็นพิเศษ เพราะอาหารประเภทนี้มีโอเมก้า-3 ซึ่งช่วยปกป้องสมอง และลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
2. ควรทานผักและผลไม้สดเป็นประจำ และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น หมูสับ กระดูกหมู หนังหมู เป็นต้น
3. อาหารที่ใส่กะทิ หรือปรุงโดยวิธีการผัด หรือทอด ควรรับประทานในปริมาณจำกัด เพราะมีปริมาณไขมันสูงมาก โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ชุบแป้งทอด ปาท่องโก๋ โดนัท เป็นต้น



4. ส่วนของหวานจัด หรืออาหารประเภทแป้ง หากรับประทานมากเกินไป จะมีผลทำให้ไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
5. อาหารมื้อเช้าเป็นอาหารมื้อสำคัญ นอกจากจะช่วยทำให้ร่างกายไม่หิวมากในช่วงบ่ายแล้ว ยังควบคุมปริมาณอาหารในมื้อเย็นให้น้อยลงได้
6. อาหารมื้อเย็น ควรทานให้ห่างจากเวลานอนไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง เช่น หากเข้านอนเวลาสามทุ่ม ควรทานอาหารเย็นไม่เกินหกโมงเย็น เพื่อป้องกันการสะสมไขมันในช่องท้อง เนื่องจากขณะหลับ ร่างกายกำลังพักผ่อน จึงไม่เกิดการย่อยอาหาร



7. เลือกประเภทของอาหารที่ให้พลังงานเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย และทำการศึกษาคุณค่าทางโภชนาการและพลังงานของอาหารแต่ละประเภทให้ดี เพื่อป้องกันการสะสมสารอาหารส่วนเกิน
8. การทานอาหารมังสวิรัติ หรืออาหารเจ ควรเลือกที่มีปริมาณแป้งและไขมันแต่พอควร
9. ข้อสำคัญควรชิมอาหารก่อนปรุงรสทุกครั้ง และพยายามไม่ติดอาหารรสจัดเกินไป
10. ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่าลืมว่าเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลจะทำให้ได้รับพลังงานเพิ่มขึ้น และเครื่องดื่มบางชนิด เช่น กาแฟ (ที่ใส่นม ครีม และมีรสชาติหวานจัด) ก็ให้พลังงานเทียบเท่ากับอาหารหนึ่งจานเลยทีเดียว)



หากคุณเลือกรับประทานอาหารได้วิธีดังกล่าวแล้ว เชื่อเหลือเกินว่าสุขภาพดีจะเป็นเรื่องง่าย ที่สำคัญ  อย่าลืมแนะนำวิธีการเลือกบริโภคอาหารจานเดียวให้กับคนรอบข้างที่คุณรักด้วย
รศ.ดร.นพวรรณ เปียซื่อ
คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี

วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2558

หัวเราะวันละ(หลาย)นิด ฟิตทั้งจิต ฟิตทั้งกาย!!!





       เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าการหัวเราะมีผลดีต่อสุขภาพจิตของคนเรา คนช่างหัวเราะมักมีภาพลักษณ์ที่ดี ดูเป็นคนอารมณ์ดี มองโลกในแง่ดี อัธยาศัยดีน่าคบหา เป็นที่น่ารักใคร่ของคนรอบข้าง แต่คุณรู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้ว ประโยชน์ของการหัวเราะไม่ได้มีแค่นั้น การหัวเราะนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพของคนเราอย่างมากมายมหาศาลและไม่ได้มีอยู่แค่เฉพาะกับสุขภาพจิตเท่านั้นด้วยนะเออ วันนี้ Healthy Life Booster อยากนำเสนอเคล็ดลับในการบูสท์สุขภาพที่จะช่วยบูสท์ให้คุณแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ เคล็ดลับที่ว่านี่ก็คือ การหัวเราะนี่เอง มาดูกันเลยว่าแค่การหัวเราะนั้นสามารถบูสท์สุขภาพเราได้อย่างไรบ้าง!



       ในแง่ของสุขภาพทางร่างกายนั้น การหัวเราะเป็นดั่งยาขนานเอกที่ช่วยบูสท์ให้ร่างกายของเราแข็งแกร่งต่อโรคภัยได้ในหลายด้าน เช่น
  • ช่วยทำให้ร่างกายทุกส่วนของเราผ่อนคลาย การหัวเราะที่ดีและจริงใจนั้นสามารถขับไล่ความตึงเครียดของกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆของร่างกาย และทำให้กล้ามเนื้อเหล่านั้นคงอยู่ในสภาวะผ่อนคลายได้นานถึง 45 นาทีหลังการหัวเราะ
  • ช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคนเราทำงานดีขึ้น การหัวเราะจะช่วยลดฮอร์โมนความเครียดและเพิ่มเซลล์ภูมิคุ้มกันโรคกับสารภูมิต้านทานที่ช่วยต่อต้านการติดเชื้อให้ร่างกาย ดังนั้นจึงทำให้ระบบการต้านทานเชื้อโรคของเราดีขึ้น
  • ช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขที่ร่างกายของมนุษย์สร้างขึ้นได้เองตามธรรมชาติ และสารเอ็นดอร์ฟินนี้เองที่เป็นตัวสนับสนุนให้มนุษย์มีความพอใจต่อสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตโดยองค์รวม อีกทั้งยังช่วยบดบังความรู้สึกเจ็บปวดทางร่างกายให้หายไปในชั่วระยะเวลาหนึ่งได้อีกด้วย
  • ช่วยปกป้องหัวใจให้แข็งแรง การหัวเราะจะช่วยปรับปรุงการทำงานของหลอดเลือดพร้อมทั้งกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดซึ่งเป็นปัจจัยที่จะช่วยปกป้องหัวใจของคุณจากการเกิดโรคหัวใจและปํญหาเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดอื่นๆ



       ในส่วนของสุขภาพใจก็เช่นกัน การหัวเราะช่วยทำให้สุขภาพใจของเราแข็งแรงได้ในหลายประการ หลักๆก็คือ
  • ช่วยกลบทับความรู้สึกไม่มีความสุขไปจนหมดสิ้น เพราะในขณะที่เราหัวเราะ เราจะไม่สามารถรู้สึกวิตกกังวล โกรธ หรือเศร้าได้ เพราะฉะนั้น การหัวเราะและการมีอารมณ์ขันจึงช่วยให้เรามีสุขภาพทางอารมณ์ที่ดีอยู่เสมอ การหัวเราะทำให้เรามีอารมณ์ดีซึ่งเป็นอารมณ์ดีที่จะอยู่กับเราต่อเนื่องไปแม้ในขณะที่เราหยุดหัวเราะไปแล้วก็ตาม อีกทั้งการมีอารมณ์ขันก็ยังจะช่วยให้เราเป็นคนคิดบวกและสามารถมองโลกในแง่ดีได้เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้าย และยิ่งไปกว่านั้นก็ยังจะ ช่วยให้เรามีความกล้าและมีพลังในการออกไปแสวงหาความหมายและความหวังของสิ่งต่างๆใหม่อีกครั้ง สถานการณ์เช่นนั้นด้วย
  • ช่วยให้เราได้พักผ่อนและชาร์ทพลัง มันช่วยลดความเครียดและเพิ่มพลังให้เรา ซึ่งจะทำให้เรามีสมาธิและมีแนวโน้มที่จะทำอะไรบรรลุเป้าหมายได้มากขึ้น
  • การมีอารมณ์ขันช่วยยกระดับทัศนคติของเราให้ดีขึ้น ทำให้เรามองสถานการณ์ต่างๆตามความเป็นจริงได้มากขึ้นและหวั่นเกรงต่อภัยคุกคามต่างๆที่คิดว่าจะเกิดขึ้นน้อยลง นอกจากนั้นยังช่วย สร้างระยะห่างทางจิตใจ  ซึ่งจะช่วยให้เราไม่ตกอยู่ในสภาวะของการมีความรู้สึกใดๆมากล้นจนเกินไปด้วย
  • แล้ว การหัวเราะก็ยังเป็นพลังงานบวกที่แพร่ไปติดต่อกันได้ อีกด้วยนะ เพราะแค่การได้ยินเสียงหัวเราะของคนอื่นก็สามารถทำให้สมองของคนเราเตรียมพร้อมที่จะฉีกยิ้มแล้วระเบิดเสียงหัวเราะตามเขาไป แล้วเข้าไปมีส่วนร่วมกับความสนุกนั้นๆได้แล้ว



       เห็นได้ชัดว่าการหัวเราะนั้นช่วยบูสท์สุขภาพของเราได้อย่างครบวงจรเลยทีเดียว เป็นเคล็ดลับง่ายๆแต่ให้ประโยชน์มหาศาล Healthy Life Booster หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเคล็ดสุขภาพที่นำมาฝากในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านทุกท่านไม่มากก็น้อย เอาเป็นว่าวันไหนไม่ได้ไปออกกำลังกายหรือรู้สึกว่าทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์มากเกินไปก็มาชดเชยด้วยการนั่งหัวเราะไปเลยทั้งวันทั้งคืนจนกว่าขากรรไกรจะค้างไปกันไปข้างเลยแล้วกัน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!”



Cr.            :   http://goo.gl/udGJc1
Cr. ภาพ     :   http://goo.gl/VhB92O
                    http://board.postjung.com/677065.html
                    http://goo.gl/vLRDF0


อ่านเกร็ดความรู้อื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ 

วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2558

ออกกำลังกาย ฟิตได้ไปถึงสมอง!!!


จำได้ว่าตอนเด็กๆเคยสงสัยว่าทำไมคุณครูที่โรงเรียนชอบให้ออกกำลังกายจังเลย เอะอะๆก็ต้องออกกำลังกาย ตื่นขึ้นมา 8 โมงเช้าตอนเข้าแถวหน้าเสาธง ร้องเพลงชาติกับฟังครูใหญ่พูดเสร็จก็ต้องทำท่าบริหารร่างกายก่อนเข้าห้องเรียน 10 ท่า พอทำ 10 ท่าครบแล้วจะเดินกลับห้องก็ยังต้องเดินแกว่งแขนขึ้นมาถึงระดับไหล่ ก้าวขาทีก็ต้องยกเข่าขึ้นสูงๆแล้วเดินสลับขาพร้อมกันทั้งโรงเรียนตามจังหวะซ้าย-ขวาซ้ายของเพลงมาร์ชโรงเรียน ก่อนเข้าคาบพละก็ต้องวอร์มอัพ ก่อนหมดคาบก็ต้องวอร์มดาวน์ ยิ่งหน้าหนาวนี่มีกระโดดตบเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายด้วยนะ! นึกย้อนกลับไปตอนที่ทำตอนนั้นเราไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าทำไมคุณครูต้องให้ทำอะไรแบบนั้นกันด้วย กว่าจะมาเข้าใจว่าไอ้เพลงที่เคยร้องไปงั้นๆตอนเด็กๆที่ว่า กีฬาๆเป็นยาวิเศษ” นั่นน่ะจริงเสียยิ่งกว่าจริงก็ตอนโตแล้วนี่แหละ แล้วยิ่งในตอนนี้ที่มีผลการศึกษาชิ้นใหม่เกี่ยวกับประโยชน์ของการออกกำลังกายที่ไม่ได้ให้คุณแก่ร่างกายแต่ส่งผลดีไปถึงสมองด้วยแล้วก็ยิ่งมั่นใจได้มากขึ้นว่ากีฬานั้นเป็นยาวิเศษขนานแท้เลยจริงๆ และแน่นอนว่า Healthy Life Booster ไม่มีทางพลาดที่จะนำเอาผลการศึกษาที่น่ายินดีชิ้นนี้มาแบ่งปันให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันอย่างแน่นอน




            สมองของคนเราที่จริงแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับร่างกายที่ถ้าไม่ใช้มันก็จะฝ่อ เมื่อพูดถึงการออกกำลังกายแล้ว เราเข้าใจกันดีว่าเวลาเราเข้ายิมออกกกำลังกายนั้นก็เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์กล้ามเนื้อ ส่วนสมองนั้นเราก็ใช้วิธีเล่นเกมลับสมองต่างๆเพื่อเพิ่มอัตราความเชื่อมโยงต่างๆเพื่อให้เกิดกระบวนการพัฒนา แต่รู้หรือไม่ว่าอันที่จริงแล้วการออกกำลังกาย โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบแอโรบิคนั้นก็ส่งผลถึงการบริหารสมองได้ด้วยเช่นเดียวกัน โดยคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาของมหาวิทยาลัยจอร์เจีย ( Department of Exercise Science at the University of Georgiaมีผลการวิจัยออกมายืนยันแล้วว่า การออกกำลังกายแม้จะทำผ่านๆแค่เพียง 20 นาทีต่อวันก็ตาม นอกจากจะส่งผลดีต่อร่างกายของคนเราแล้ว ยังช่วยทำให้เรามีความสามารถในการจัดระบบความคิดดีขึ้นและยังช่วยกระตุ้นความจำได้อีกด้วย

            การออกกำลังกายส่งผลต่อการบริหารสมองในหลายส่วนด้วยกัน เช่น การที่เมื่อเราออกกำลังกายแล้วอัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้นจะมีผลทำให้อัตราการปั๊มอ๊อกซิเจนเข้าสู่สมองเพิ่มสูงขึ้นด้วย หรือการที่ตอนกำลังกายร่างกายของเราจะผลิตฮอร์โมนบางตัวออกมา ซึ่งฮอร์โมนเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นฮอร์โมนที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของเซลล์สมอง อีกทั้ง การออกกำลังกายก็ยังไปกระตุ้นให้เกิดการเชื่อมโยงใหม่ๆระหว่างเซลล์ในบริเวณสมองชั้นนอกส่วนที่สำคัญด้วย นอกจากนั้นแล้ว การวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลีส  (UCLA) ยังแสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มปัจจัยที่ทำให้เซลล์สมองเติบโตด้วยการทำให้สมองสามารถสร้างความเชื่อมโยงของระบบประสาทใหม่ๆได้ง่ายขึ้น




          ในเชิงพฤติกรรมนั้น พบว่าการออกกำลังกายช่วยลดฮอร์โมนความเครียดอันจะส่งผลให้คนเรามีระดับความเศร้าซึมลดลง หนึ่งในตัวอย่างที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนคือการเกิดภาวะ Runner’s high ที่พบในมนุษย์ นอกจากนั้น การศึกษาจาก Stockholm ยังชี้ว่าลดระดับความเศร้าซึมที่ลดลงจากการวิ่งนั้นยังมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของเซลล์ในฮิปโปแคมปัส (hippocampus) ซึ่งเป็นส่วนของสมองที่รับผิดชอบเรื่องการเรียนรู้และการเก็บความทรงจำอีกด้วย

            ตอนนี้เราก็ได้เห็นกันแล้วว่าการออกกำลังกายนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพของเรามากแค่ไหน ไม่ใช่แค่สุขภาพกาย แต่ยังรวมไปถึงสุขภาพใจอีกด้วย รู้อย่างงี้แล้วคงต้องย้อนกลับไปขอบคุณครูทั้งหลายที่ตอนเด็กๆบังคับให้พวกเราออกกำลังกายกันวันละหลายๆครั้ง ที่ตอนนั้นเรียนเก่งขั้นเทพแล้วยังโตขึ้นมาฉลาด(บวกหน้าตาดี)ขนาดนี้คิดๆแล้วอาจเป็นผลมาจากการที่ตอนเด็กๆตั้งใจแกว่งแขนระดับไหล่พร้อมตะโกน ซ้าย-ขวา-ซ้าย ตามจังหวะเพลงมาร์ชโรงเรียนก่อนเข้าห้องเรียนก็ได้นะ โฮ้ๆๆ! แต่สำหรับใครที่ตอนเด็กๆไม่ได้ตั้งใจทำการบริหาร หรือแม้แต่ในตอนนี้เองก็ยังไม่ได้เริ่มทำกิจกรรมอะไรเพื่อออกกำลังกายเลยล่ะก็ไม่ต้องกังวลไป ไม่มีใครสายไปที่จะเริ่มต้นอยู่แล้ว! Healthy Life Booster หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความชิ้นนี้จะทำให้คุณผู้อ่านตัดสินใจลุกขึ้นมาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีของคุณได้ง่ายขึ้น ยิ่งได้รู้แล้วว่าการออกกำลังกายส่งผลดีต่อสมองของเราด้วยเรา การลุกขึ้นมาออกกำลังกายวันละนิดก็อาจจะทำให้คุณทำเกรดในวิชาต่างๆได้ดีขึ้นหรือไม่ก็นึกไอเดียเจ๋งๆในการทำงานได้ง่ายขึ้นก็ได้นะ รู้งี้แล้ว เปลี่ยนกางเกง! ผูกเชือกรองเท้า! ไปออกกำลังกาย! แล้วเตรียมตัวต้อนรับชีวิตที่ดีขึ้นได้เลย ไม่ได้โม้!!!






Cr.  :   
http://www.brainhq.com/brain-resources/everyday-brain-fitness/physical-exercise
Cr. ภาพ    :   h
ttp://sportsnscience.utah.edu/tag/brain/

http://www.hendersoncountypublicschoolsnc.org/blog/2012/03/22/upward-elementary%E2%80%99s-healthy-choices-healthy-children/
http://www.creativitypost.com/science/its_the_latest_fitness_craze_a_hippocampus_workout



อ่านเกร็ดความรู้อื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ 

วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2558

App เพื่อสุขภาพและการออกกำลังกาย

          เทศกาลปีใหม่ เทศกาลแห่งการหยุดพักที่ยาวนานก็ผ่านไป และอีกไม่กี่เดือนเทศกาลใหม่ก็กำลังจะมา ในเดือนนี้ Healthy Life Booster เลยขอแนะนำให้เพื่อนๆ ทุกคนรู้จักกับแอพพลิเคชั่นที่จะคอยอำนวยความสะดวกและช่วยเหลือเพื่อนๆ ในเวลาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงกันค่ะ แน่นอนว่าเป็นของฟรีล้วนๆ เพื่อการออกกำลังกายแบบไร้ต้นทุน 


RunKeeper

           สุดยอดแอพพลิเคชั่นสนับสนุนการออกกำลังกายที่กลายเป็นแอพสามัญประจำเครื่องไปเลยก็ได้ โดย RunKeeper เป็นแอพพลิเคชั่นที่จะช่วยวัดระยะทางในการเดิน, วิ่ง หรือการปั่นจักรยานเป็นต้น สามารถบอกเวลาในขณะออกกำลังการ อัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการเผาพลาญ ความเร็วต่อชั่วโมง เส้นทางที่คุณออกกำลังกายร่วมกับแผนที่ GPS และข้อมูลอื่นๆ อีกมากที่เป็นประโยชน์ต่อการออกกำลังกาย และที่สำคัญ เปิดเพลงฟังร่วมในแอพพลิเคชั่นกันได้ด้วยค่ะ เพลินไปเลย



Ab workout A6W

          อยากลดหน้าท้อง อยากมีซิกแพค แอพพลิเคชั่นนี้อาจช่วยคุณได้ง่ายๆ ที่บ้าน กับโปรแกรมออกกำลังกายเพื่อหน้าท้องอันงดงามประหนึ่งดารานายแบบนางแบบ ด้วยตารางการออกกำลังกายที่คุณต้องบังคับตัวเองให้ทำไปพร้อมกับโปรแกรมเป็นเวลา 42 วันหรือ 6 สัปดาห์ แล้วมาวัดผลกันว่าคุณจะได้หน้าท้องที่เฟอร์เฟ็คหรือไม่!



Calorie Counter 
          ออกกำลังกายยังไงก็ยังหุ่นไม่สวย สุขภาพไม่ดี อยู่ที่อาหารการกินหรือเปล่า? งั้นต้องลองแอพพลิเคชั่น Calorie Counter ที่มีอาหารกว่า 2,000,000 อย่างให้คุณเลือกบันทึกการรับประทานอาหารในแต่ละวัน เพื่อควบคุมอาหารและแคลเลอรี่ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมวัดผลการออกกำลังกายและน้ำหนักตัวในแต่ละวัน การรันตีความพึงพอใจในระดับ 4.8 ดาว จากการรีวิวกว่า 300,000 คน

          คราวนี้คนที่ชอบเทคโนโลยีก็สามารถใช้ App ร่วมกับการออกกำลังกายได้อย่างสนุกกันเลยที่เดียว ต่อไปนี้การออกกำลังกายไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไปแล้ว 
Cr. http://goo.gl/E1aBI0

อ่านเกร็ดความรู้อื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ 








วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2558



Cr. Maeban.co.th

สดชื่นแจ่มใส ต้อนรับการทำงานวันแรกของปี 2015

เพื่อนๆ หลายคนคงจะเพลียจากการเดินทางในช่วงวันหยุดยาว จนเผลอหลับไปใช่ไหมค่ะ งั้นเรามารับประทานอาหาร กระตุ้นร่างกายให้ตื่นตัวกันดีกว่า เพื่อเริ่มต้นการทำงานวันแรกต้องความสดชื่น

1. ไอศกรีมแท่งรสผลไม้…ไอศกรีมเป็นของหวานที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งจะช่วยสร้างความกระปรี้กระเปร่าในร่างกาย และความเย็นจากไอศกรีมจะทำให้รู้สึกสดชื่นด้วย 

2. กล้วยหอม...กล้วยหอมเป็นผลไม้มีน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด ได้แก่ กลูโคส ซูโครส และฟรุกโตส รวมทั้งโพแทสเซียมที่จะทำให้สมองตื่นตัวและช่วยบำรุงสมองอีกด้วย

3. ส้ม...ส้มเป็นผลไม้ที่มีวิตามินC สูงมาก ซึ่งช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น เพราะวิตามินC จะช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่เสียไปจากความอ่อนล้า ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และผิวพรรณเปล่งปลั่ง ลดความเหนื่อยล้าของร่างกาย สร้างภูมิต้านทาน และช่วยให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่าจากความเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดของส้มอีกด้วย

4. ดาร์กช็อกโกแลต...ในช็อกโกแลตมีสารที่ชื่อ “เซโรโทนิน” ซึ่งจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ที่ทำให้มีความสุขและอารมณ์ดี

5. แอปเปิล...แอปเปิลเป็นผลไม้ที่มีโครเมี่ยมสูง ซึ่งจะช่วยเผาผลาญน้ำตาลเพื่อสร้างพลังงานให้กับร่างกาย นอกจากนี้ยังมีเส้นใยสูง ซึ่งเส้นใยจะช่วยให้ร่างกายดูดซับน้ำตาลช้าลง รักษาระดับน้ำตาลในเลือด และทำให้ร่างกายตื่นตัวได้นานกว่าการกินกาแฟ

6. น้ำ…น้ำเป็นเครื่องดื่มที่จะช่วยเพิ่มระดับออกซิเจนในร่างกายเพิ่มขึ้น ชาร์จพลังงานในตัวให้เพิ่มขึ้นด้วย ควรดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว และต้องดื่มแบบทีละนิดตลอดทั้งวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยทำให้ระดับออกซิเจนในร่างกายเพิ่มขึ้น และเป็นการเพิ่มพลังงานในร่างกายด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558

ที่มา: http://www.maeban.co.th/
สวัสดีปีใหม่ 2558 ครับ
วันหยุดยาวในช่วงเทศกาลปีใหม่ หลายๆ คนต้องมีนัดพบปะสังสรรค์กับญาติสนิทมิตรสหาย บางคนนี้เคาท์ดาวน์ยันเช้าเลยทีเดียว แต่หลังจากสังสรรค์เสร็จแล้วต้องมีควันหลงจากความสนุกจากการดื่มเหล้า อย่างอาการเมาค้าง หรือ อาการแฮงค์ ซึ่งเชื่อว่าอาการเหล่านี้เป็นอะไรที่น่ารำคาญใจยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นอาการมึนปวดหัวตึ๊บๆ รู้สึกพะอืดพะอมตลอดเวลา ซึ่งก็เป็นอาการที่แย่เอาการอยู่ ฉะนั้นเรามาแก้อาการเมาค้างจากอาหารเหล่านี้กันดีกว่า
เมื่อเลิกลาจากงานสังสรรค์แต่ยังมีอาการ มึนๆ ตึ๊บๆ ลองแวะร้านก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ข้างทางก่อนกลับบ้านสักหน่อย ซึ่งก๋วยเตี๋ยวต้มยำ สามารถบรรเทาอาการเมาค้างได้ เนื่องจากน้ำซุปที่มีส่วนผสมของเครื่องปรุงที่มีรสชาติจัดจ้าน อีกทั้งยังมีเส้นให้เลือกหลากหลาย เช่น บะหมี่ เส้นใหญ่ เส้นเล็ก หรือแม้แต่วุ้นเส้น นอกจากนี้ยังสามารถหากินได้ง่ายตามท้องถนนทั่วไปอีกด้วย แต่ถ้ายังไม่สร่างต้องนี้เลยปลุกความสดชื่นด้วยน้ำมะนาว เพียงแค่นำมะนาว 1 ลูก คั้นเอาแต่น้ำดื่มสดๆ วิตามินซีจะช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือด ชดเชยพลังงานที่ร่างกายต้องการทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น หลังจากนั้นอีกสักประมาณ 10 นาที จะรู้สึกอยากอาเจียน ให้นอนพักสักครู่อาการเมาก็จะหายไป ซึ่งน้ำมะนาวยังสามารถนำมาเช็ดหน้าเพื่อแก้อาการเมาค้างได้ด้วย โดยการนำน้ำมะนาวคั้นสด 1 ลูก ผสมกับ Absolute Vodka ¼ ถ้วย แล้วใช้สำลีชุบน้ำมะนาวนำมาเช็ดหน้า และลำคอ ร่องรอยความอ่อนล้าจากอาการเมาค้างก็จะหายไป
นอกจากนี้น้ำผลไม้และน้ำสมุนไพรไทย อย่างสตรอว์เบอร์รี แตงโม น้ำมะพร้าว น้ำเก๊กฮวย น้ำขิง น้ำกระเจี๊ยบ ซึ่งเครื่องดื่มเหล่านี้ยังสามารถช่วยให้หายจากอาการเมาค้างได้ด้วย หรืออาจจะหยิบขนมหวานอย่างช็อกโกแลตที่มีน้ำตาลน้อยกินสัก 2-3 ชิ้น ตื่นเช้ามาอาการเมาค้างของคุณก็จะหายเป็นปลิดทิ้งเลยทีเดียว เนื่องจากสารกาเฟอีนในช็อกโกแลตมีผลต่อสมองทำให้ร่างกายตื่นตัวมากขึ้น เพียงเท่านี้คุณก็สามารถแก้อาการเมาค้างได้ พร้อมให้คุณไปต่องานหน้าได้แบบสบายๆ ทั้งนี้ควรดื่มอย่างพอดีและระมัดระวังเมื่อเมาแล้วไม่ควรขับรถนะครับ